เทศน์เช้า

ทุกข์สัจ

๕ มี.ค. ๒๕๔๓

 

ทุกข์สัจ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ในศาสนา ในเรื่องของศาสนาคนไม่เข้าใจ มองประเด็นต่างกันมากเลย เห็นไหม อย่างพระที่เขามาหาเขามาบอก “เขาอยากจะเห็นทุกข์มากนะ อุตส่าห์แบกก้อนหินวิ่งขึ้นเขา-ลงเขาเพื่อจะให้เห็นทุกข์” เห็นไหม เพื่อจะให้เห็นทุกข์ ทุกคนอยากจะเห็นทุกข์ พอเห็นทุกข์มันก็เห็นผล ผลนี่มันสาวไปหาเหตุได้ นี่ต้องการเห็นทุกข์

แต่พวกเราไม่เคยเห็นทุกข์...หนึ่ง พอไม่เห็นทุกข์แล้ว ความเข้าใจของเราว่าเราเป็นทุกข์ เราเข้าใจว่าอันนี้เป็นทุกข์ไง พอเข้าใจว่าอันนี้เป็นทุกข์ปั๊บ เราก็ว่าจะทำอย่างไรแก้ทุกข์ของเราได้? เราก็คิดประสาเรา

ความคิดแก้ประสาเรา มันเป็นของปลอมทั้งหมดเลย ความเป็นของปลอมทั้งหมด อย่างพระที่เขาต้องการเห็นทุกข์ เขาแบกก้อนหินนะ มาหาเราจริงๆ เขาบอก “เขาแบกก้อนหินยกวิ่งขึ้นเขา ขึ้นเขา-ลงเขา” คือว่าไม่มีงานทำ แต่ต้องการให้ตัวเองทรมาน ให้เห็นทุกข์ในตัวเองว่านี่คือทุกข์ไง

เราบอก “นี่ทุกข์ประจำโลกเขา ไม่มีทางเห็นหรอก ถ้าทุกข์อย่างนี้เห็นนะ พวกกรรมกรท่าเรือมันแบกข้าวทั้งวันๆ นะ มันต้องทุกข์ ทำไมมันตกเย็นมันกินเหล้ามีความสุขมันล่ะ?” เห็นไหม ทุกข์แบบนี้คือว่าทุกข์ประจำธาตุขันธ์ มันไม่เห็นทุกข์ตามความเป็นจริง

มันถึงว่าถ้าเราทุกข์ เป็นทุกข์ๆ เราต้องการเห็นทุกข์ ทำไมเราต้องไปแส่หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเราล่ะ? เราก็ทุกข์อยู่แล้วทำไมต้องไปหาทุกข์อีก?

นั่นมันไม่ใช่เจอทุกข์จริงไง ความทุกข์จริงคือความเห็นจริงไง ความเห็นจริงเป็นอริยสัจ เห็นไหม การเห็นทุกข์ด้วยสัจจะความจริง มันเห็นทุกข์มันเข้าไปจับต้องทุกข์ได้ มันถึงสาวไปหาเหตุได้ มันจะแก้ไขได้ ถ้ายังไม่เห็นทุกข์ เราเห็นอาการของทุกข์ เราเห็นผลของมัน

ความเห็นผลของมัน เราก็ต้องการแก้ประสาเรา การแก้ประสาเรา ทำไมถึงบอก ถ้าเราต้องการเห็นทุกข์ มันเป็นการที่ว่าทำไมต้องเรื่องมาก? ทำไมต้องมีระเบียบ? ทำไมต้องจัดการให้มันเข้าไปวุ่นวายไง?

ความวุ่นวายนี่ มันเป็นสัจจะความจริง ระเบียบแบบแผนมันจะต้อนเข้าหาหลักความจริง

แต่ถ้าเราปล่อยตามความเห็นของเรา มันเป็นอาการเฉยๆ อาการของทุกข์ เห็นไหม มันก็อาการประจำโลก อาการของทุกข์จะมีขึ้นมาเพราะว่าเรามีเรา เราเกิดมาบนโลกนี้เราถึงมีเหตุให้เกิดทุกข์ มันก็เป็นวิบาก มันไม่ใช่กรรม กรรมคือการกระทำ การกระทำที่ทำมาแล้วมันเป็นผลอันนี้

นี้เราก็อยู่ที่ผลของมัน เราก็จะแก้ไขประสาเรา แก้ไขประสาที่เราคิดจะแก้ไขกันเอง ความคิดจะแก้ไขกันเองมันก็เป็นความคิดของเรา เห็นไหม ความคิดของเรามันเป็นความเห็นของเรา มันเป็นความผิดพลาด มันไม่เป็นความจริง มันไม่เป็นสัจจะ ถ้าเป็นสัจจะ อริยสัจ ความเห็นอริยสัจ เห็นสัจจะความจริงมันคือเข้าไปเห็นทุกข์ พอเข้าไปเห็นทุกข์ แก้ไขตรงนั้นได้ พอแก้ไขตรงนั้นได้ มันก็อยู่ที่สูงใช่ไหม? มันถึงมองสังคมออกหมดไง

ดูอย่างที่อาจารย์ทำนี่ สุดท้ายมันคือว่าเป็นจุดของใจ เป็นจุดศูนย์รวมของใจ ให้ใจมีกำลังใจขึ้นมา แต่คำที่ว่าเรื่องมาก หาเงินมาให้คนอื่นเขาใช้ เห็นไหม การหาเงินมาให้นักการเมืองใช้ นักการเมืองใช้เงินของเราไป แต่ถ้านักการเมืองไม่มีเงินใช้ มันก็ต้องบีบบี้สีไฟเอากันตรงนี้

แต่ถ้ามีมาอย่างนี้ นักการเมืองดีก็ได้ ไม่ดีก็ได้ แล้วแต่เขาจะใช้อันนี้ออกไป ถ้าเขาจะใช้อันนี้ออกไป เห็นไหม มันเป็นส่วนกลาง มันเป็นของกลางสมบัติกลางอยู่แล้ว อันนี้ก็หาเป็นสมบัติกลาง แต่คนก็วิ่งเข้าไปหาอำนาจเพื่อจะใช้สมบัติกลาง เห็นไหม นี่ชุบมือเปิบ! แล้วว่าจะได้ผลนะ กลับไม่ได้ผล เข้าไปถึงตรงนั้นปั๊บมันก็ได้ชั่วคราว

พอออกมา ถ้ากฎหมายเข้มแข็งขึ้นมา ต่อไปนะ มันจะมีทิ้งร่องรอยเอาไว้ ย้อนกลับมาก็มาโอดโอยว่าโดนกลั่นโดนแกล้ง โอดโอยกันนะ นี่เพราะอะไร? เพราะเข้าไปแล้วเข้าไปชุบมือเปิบ เข้าไปคิดว่ามันจะเป็นสุขก่อนที่ว่าแก้ไขทุกข์ด้วยความเห็นของเรา

นี่ก็เหมือนกัน เข้าไปแสวงหาโชคด้วยความเห็นของเราว่ามันจะเป็นโชคไง แต่กรรมมันต้องมีนะ วิบากกรรมมันต้องให้ผลไป

แต่คนถ้าเข้าไปหลักความเป็นจริง เห็นทุกข์...เห็นทุกข์ก็เห็นสัจจะ เห็นสัจจะคือว่าสิ่งความที่ไม่มีความหมาย มันเป็นของชั่วคราวชั่วกาล มันไม่มีความหมายหรอก มันเป็นไปตามกาลตามเวลา มันชั่วคราว

แต่ผลจริงๆ เห็นไหม ทุกข์ประจำธาตุขันธ์คือทุกข์ที่เราพยายามแสวงหากันไม่เจอ ทุกข์จริงๆ มันทุกข์มาจากหัวใจ พอทุกข์มาจากหัวใจ สาวเข้าไปหาทุกข์ออกจากใจ จับต้องทุกข์ได้ตามความเป็นจริง ทุกข์มันเป็นนามธรรม นามธรรมอันนี้มันถึงย้อนกลับไปในวัฏฏะ มันหมุนเวียน มันไม่ทุกข์ประจำธาตุขันธ์ ทุกข์ประจำโลก

ทุกข์ประจำโลกคือการหาอยู่หากิน ทุกข์ประจำโลกเพราะเรามีขึ้นมา เห็นไหม คือว่ามีการเกิดขึ้นมา มีเป้าหมาย มีสิ่งที่รองรับนี้ นี่ทุกข์ประจำ ประจำโลกนี้เฉยๆ ทุกข์ประจำโลกมันก็อยู่ในโลกนี้ แล้วก็ช่วยเหลือกันได้ มีลูกจ้าง มีคนช่วยเหลือ เห็นไหม มันก็ผ่อนทุกข์อันนี้ไปได้ ทุกข์นี้ช่วยเหลือกันได้ เพราะมันเป็นวัตถุที่จะผ่อนคลายกันได้

แต่ทุกข์สัจจะความจริงตรงหัวใจมันเป็นทุกข์ในวัฏฏะ มันไม่ใช่ทุกข์ประจำโลก มันทุกข์ประจำการเวียนตายเวียนเกิดในวัฏวน ทุกข์อันนี้มันพาเกิดพาตาย เห็นไหม มันสำคัญมาก คือมันเป็นเชื้อพาขับเคลื่อนไปในวังวนของการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย แล้วไม่เกิด แก่ เจ็บ ตายเฉพาะที่มนุษย์นี้ มันเกิดเป็นเทวดาก็ได้ เกิดเป็นมนุษย์ก็ได้ เกิดเป็นนรกก็ได้ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ ได้จริงๆ

เราคิดอะไรนี่มันเป็น เราคิดอะไรอย่างวิทยาศาสตร์ พอวิทยาศาสตร์คิดขึ้นมา มันความคิดขึ้นมาเป็นรากฐาน แล้วมาวิเคราะห์วิจัยจนขึ้นมาเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งที่ว่าเป็นวัตถุที่จับต้องได้มาใช้คุณประโยชน์ได้

นี่เกิดจากความคิดไหม? เกิด เพราะความคิดนะ วิตกวิจาร เห็นไหม ใคร่ครวญ การวิเคราะห์วิจัยทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมา มันยังสำเร็จออกมาเป็นวัตถุ เป็นสิ่งของมาเป็นเทคโนโลยีให้เราใช้สอยได้

ความคิดของใจที่มันฝักใฝ่ ความคิดของใจที่มันเจาะจง ความคิดของใจนี่มันคิด พอมันคิด ความคิดนั้นมันให้ค่า ความให้ค่า รู้หรือไม่รู้มันให้ค่า ให้ค่าสูงหรือต่ำ คิดดีไปทางสูง คิดชั่วไปทางต่ำ ให้ค่าหนึ่งนะ ให้ค่าคือว่ามันให้ค่า คือมันมีโดยเนื้อหาสาระมันต้องเข้าไปสะสมอยู่ที่นั่น อันนี้มันจะตกผลึก ตกผลึกหมายถึงไปสูงไปต่ำ วัฏวนไง นี่ถึงว่าไปได้จริง

แล้วยังให้ผลอีก เห็นไหม ให้ค่าส่วนหนึ่งคือตกเป็นข้อมูลเดิม ให้ผลคือให้ผลในความสุขความทุกข์ เห็นไหม ให้ผลเป็นความสุขความทุกข์ขึ้นมา เราจะแก้ไขตรงนี้ นี่สุขทุกข์อันนี้ถึงเป็นสุขทุกข์อันจริง อันข้างในไง

นี่ที่ว่าต้องเห็นทุกข์ เห็นสัจจะความจริงของทุกข์ เราถึงบอกว่าเราเกิดมาเราก็ทุกข์อยู่แล้ว ไม่อยากฟังธรรมเลย คำก็ทุกข์สองคำก็ทุกข์ เอาความสุขมาคุยกันบ้างสิ เอาแต่เรื่องความทุกข์มาคุยกัน เราก็ทุกข์อยู่แล้วทำไมต้องไปทุกข์อีก ทำไมต้องไปเรื่องมาก ต้องไปหาเรื่องมาให้เราทุกข์

เพราะว่าสิ่งนี้เป็นความจริงนี่นา สิ่งที่เราว่ามันจะเป็นเรื่องมากขึ้นไปจะเป็นความทุกข์นี่ มันเป็นสัจจะความจริงที่เราจะแก้ไข คือจุดมันอยู่ตรงนั้น คัตเอาท์หรือความเปลี่ยนแปลงมันอยู่ตรงนั้น แต่เราเข้าไม่ถึงตรงนั้น แล้วเราก็พยายามจะเปลี่ยนแปลงกัน เปลี่ยนแปลงโดยความคิดของเรา เห็นไหม เราเปลี่ยนแปลงด้วยความคิดของเรา เราถึงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ พอเราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราก็วนอยู่ในนี้ วนอยู่ในนี้ เราถึงว่าเข้าไม่ถึงอริยสัจ

ทุกข์นี้มันถึงเป็นอริยสัจไง เป็นอริยสัจ เป็นสัจจะความจริง ศาสนาพุทธถึงประเสริฐตรงนี้ ศาสนาพุทธประเสริฐเพราะมันเป็นศาสนาของความจริง ศาสนาของสัจจะความจริงที่แก้ไขเปลี่ยนแปลง ดัดแปลงใจได้ทั้งหมด ใจนี้จับต้องได้ เห็นได้ตามสัจจะความจริงที่เข้าไปเห็นได้

ถ้าเข้าไปเห็นไม่ได้มันก็อีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเข้าไปเห็นไม่ได้ เห็นไหม ก็เห็นเรื่องหนึ่งหมายถึงว่าเข้าไปเห็นไม่ได้ หมายถึงว่าเข้าไปจับต้องแต่รูปเงา เข้าไปจับต้องแต่ภายนอกไง แล้วเข้าใจว่าอันนี้จะเป็นทุกข์ แล้วเราจะแก้ไขไป

ถึงบอกว่ามันเป็นทุกข์ประจำโลกเขา ทุกข์ประจำธาตุขันธ์ ไม่ใช่ทุกข์ประจำวัฏวน ทุกข์ประจำธาตุขันธ์แก้ไขตามธาตุขันธ์

ฉะนั้น เวลาแก้ไขทุกข์จะแก้ไขอย่างนั้นไม่ได้ แก้ไขที่ว่าเราจะพยายามจะสร้างทุกข์ขึ้นมาเพื่อจะให้เห็นทุกข์ เห็นไหม ทำไมเวลาที่พระเขาทำกัน เขาอยากเห็นทุกข์ เขาพยายามสร้างทุกข์ขึ้นมาเพื่อจะเห็นทุกข์ แต่เขาไม่เห็นทุกข์

เวลาพระที่ประพฤติปฏิบัติตามหลักความเป็นจริง นั่งเฉยๆ เห็นไหม หลวงปู่ฝั้นสอนเลย “ให้นั่งเฉยๆ หลับตาแล้วนั่งเฉยๆ นะ นั่งเฉยๆ พยายามกำหนดดูเข้าไปนะ” เอาใจดูใจไง เอาสัจจะดูสัจจะอันนั้น ถึงจะเห็นทุกข์อันนั้นได้ เห็นทุกข์ก็สาวไปหาเหตุ

มันเป็นนามธรรมละเอียดอ่อนมาก เป็นงานที่ว่างานรื้อวัฏฏะ งานประเสริฐในศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธถึงเป็นงานของสัจจะความจริง เอวัง